เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันเสาร์ที่ 7 กันยายน 2568
เรื่อง เจริญธรรมวันจันทรุปราคา
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายร่างกายทุกส่วน ปลดปล่อยความรู้สึก ผัสสะที่เนื่องกับร่างกายขันธ์ห้า ผ่อนคลายคือปล่อยวาง ปล่อยวางเพื่อตัดเพื่อละขันธ์ห้า แยกรูปแยกนามแยกกายแยกจิต ผ่อนคลายสบาย ปล่อยวางจนจิตเข้าถึงความสงบ วางให้เบาสบาย สงบร่มเย็น
จากนั้นจึงกำหนด สติรู้อยู่กับลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรไหมพลิ้วผ่านเข้าออกในกาย สติกำหนดรู้อยู่กับลมหายใจตลอดทั้งสายตลอดทั้งกองลมนั้น ต่อเนื่องราบรื่นพลิ้วไหว ลมหายใจยิ่งละเอียดเบา จิตยิ่งสงบ เข้าสู่สมาธิ ลมหายใจลมปราณสัมพันธ์จิตใจ ลมสบายสัมพันธ์อารมณ์ใจ กายเวทนาจิตธรรมถึงพร้อมอยู่กับลมหายใจที่เปี่ยมไปด้วยสติ จดจ่อทรงอารมณ์ของสมาธิอยู่กับลมหายใจสบาย เมื่อลมหายใจมีความสงบระงับ ลมหายใจมีความละเอียดเบา จิตก็พลอยสงบระงับจากความฟุ้งซ่านความวุ่นวายทั้งหลาย
เมื่อเข้าถึงสภาวะแห่งความสงบของอานาปานสติ เราก็ยกกำลังใจจากลมสบาย จากอุปจารสมาธิขึ้นสู่ฌานสี่ในอานาปานสติ ใช้สติกำหนดรู้ นิ่งหยุด หยุดปรุงแต่ง หยุดความคิด หยุดเป็นตัวสำเร็จ หยุดในเอกัคคตารมณ์ นิ่งหยุด หยุดในอุเบกขารมณ์ เมื่อประคองกำลังใจในเอกัคคตารมณ์คือฌานสี่ของอานาปานสติจนมีความทรงตัว เราก็เดินจิตต่อจากอานาปาขึ้นสู่กสิณ
กำหนดจากจุดที่หยุดจิต จากจุดจินตภาพให้กลายเป็นวงกลม จากวงกลมจินตภาพให้กลายเป็นดวงแก้วทรงกลม กำหนดทรงภาพดวงแก้วเชื่อมโยงสัมพันธ์ระหว่างนิมิตของกสิณกับจิตของเรา จิตคือกสิณ กสิณคือจิต กำหนดจากจิตที่เป็นดวงแก้ว กำหนดให้มีความสว่างขึ้นจากภายใน สว่างเจิดจ้าขึ้น สว่างขึ้นใสขึ้นทีละน้อย
ในระหว่างที่กำหนดภาพให้ดวงจิตเรากลายเป็นแก้วสว่าง ก็กำหนดรู้ว่าจิตที่สว่างขึ้นใสขึ้นมากเท่าไร สภาวะนี้เรียกว่า “อุคคหนิมิตของกสิณ” จิตยิ่งใสยิ่งสว่างมากเท่าไร จิตเราก็สะอาดปราศจากกิเลสปราศจากมลทินเครื่องเศร้าหมองมากเพียงนั้น จิตยิ่งสว่างยิ่งใส จิตก็เกิดกำลังคือเกิดรัศมีอันเกิดขึ้นจากแสงสว่างของจิตเพิ่มพูนขึ้นเพียงนั้น
การปฏิบัติธรรมคือการฝึกฝนจิต อุบายทั้งหลาย การฝึกฝนทั้งหลาย กรรมฐานทั้งหลาย เป็นอุบายที่ฝึกฝนให้จิตของเรานั้น สงบ เข้าสู่สมาธิ อยู่ในกุศล เกิดกำลัง แตกต่างจากบุคคลที่ไม่เคยฝึกจิตไม่เคยฝึกไม่เคยเจริญพระกรรมฐาน เราก็ถูกกิเลสถูกอำนาจของความโลภโกรธหลง อำนาจของความเศร้าหมองความคิดความฟุ้งวุ่นวายความกังวลทั้งหลายชักนำชักพาไป แต่การที่เราฝึกจิต เราฝึกเพื่อให้จิตนั้นมีความสว่าง พ้นจากมลทินเครื่องเศร้าหมอง ธรรมชาติของจิตนั้นทุกดวงจิตล้วนแล้วแต่เป็นจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร คือมีความสว่างมีความผ่องใส แต่พอนานวันเข้า พบสิ่งกระทบต่างๆเข้า เกิดการปรุงแต่งต่างๆเข้า มลทินเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายก็มาห่อหุ้มมาเกาะมาเกรอะกรัง ทำให้จิตนี้มันมีความเศร้าหมอง มันมีความทุกข์มีความซึม จนกระทั่งจิตนั้นไม่ประภัสสรอย่างเดิม
ตอนนี้เรารู้เราเข้าใจ การฝึกกสิณนั้นมีผลอย่างยิ่งโดยตรงกับจิต ดังนั้นอานุภาพของกรรมฐานระหว่างอานาปานสติกับกสิณ
กสิณนั้นเกิดจิตตานุภาพที่ทำให้จิตของเรามีอำนาจอยู่เหนือกิเลสได้มากกว่า
อานาปานสติช่วยให้จิตอยู่เหนือนิวรณ์ห้า
แต่กสิณนั้นช่วยยังจิตให้ห่างให้พ้นในระหว่างที่เราเข้าฌาน ห่างหายจากกิเลส เข้าถึงความผ่องใสของจิต เมื่อเรากำหนดรู้แล้ว เราก็กำหนดทรงสภาวะให้จิตใสสว่าง นึกน้อมให้จิตสว่างขึ้นใสขึ้น กลั่นจิตให้สว่างขึ้นใสขึ้น อารมณ์จิตสัมพันธ์นิมิต ภาพนิมิตของกสิณยิ่งใสยิ่งสว่าง อารมณ์จิตเรายิ่งเอิบอิ่มเป็นสุข ยินดีกับความสว่าง ยินดีกับความใส
จากอุคคหนิมิต เราก็ยกกำลังขึ้นเป็นปฏิภาคนิมิต อันนับว่าเป็นฌานสี่ของกสิณ
ฌานสี่ของกสิณก็คือ กำหนดจากดวงแก้วใสให้กลายเป็นเพชรระยิบระยับ จิตกลายเป็นเพชรลูกระยิบระยับ รัศมีไม่ใช่เป็นแสงเรืองสว่างโดยรอบของจิต แต่ปรากฏเป็นเส้นแสงที่เป็นประกายรุ้งพุ่งเป็นเส้นตรง 360 องศา ทุกจุดพุ่งออกมาจากจิต มีความแพรวพราว มีกำลัง มีความเป็นรุ้ง คือมีความเป็นประกายพรึก ทรงสภาวะที่จิตเป็นประกายพรึกนี้ จิตเรากลายเป็นเพชรประภัสสร ดังนั้นภาษาหรือศัพท์ของกสิณจึงเรียกว่า “ปฏิภาคนิมิต” ทรงสภาวะที่จิตเป็นปฏิภาคนิมิต กำหนดฝึกเพื่อเกิดความชำนาญคล่องตัว ขยายดวงกสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิตให้ขยายใหญ่ขึ้นสว่างขึ้น ขยายใหญ่จนกระทั่งใหญ่คลุมห้องทั้งหมดที่เราฝึกสมาธิ ใหญ่จนคลุมบ้านทั้งหมด จิตที่เป็นเพชรประกายพรึกใหญ่จนกระทั่งคลุมเมืองไว้ทั้งหมด ขยายใหญ่ต่อไปจนคลุมประเทศไทยทั้งหมด ขยายใหญ่จนคลุมโลกทั้งหมด ขยายให้ใหญ่ขึ้นสว่างขึ้นมีกำลังขึ้นจนคลุมจักรวาลนี้ได้ทั้งหมด กำหนดว่าจิตของเราประภัสสรสว่าง จิตของเรามีกำลังอันไม่มีประมาณ บุญส่งผลให้เกิดแสงสว่าง กำหนดว่าจิตเราขยายสว่างทั้งขนาดทั้งความแพรวพราวทั้งคุณภาพทั้งปริมาณ บุญหล่อหลอมรวมหล่อเลี้ยงอยู่ในจิตที่ประภัสสรนี้ ทรงสภาวะจิตที่ประภัสสรคลุมจักรวาลไว้ ใจเอิบอิ่มเบิกบานผ่องใส อธิษฐานจิตให้รัศมีอันปรากฏขึ้นจากจิตอันประภัสสร เป็นรัศมีกระแสคลื่นแห่งความเมตตาอันไม่มีประมาณ ขยายดวงจิตที่ประภัสสรแผ่แสงสว่างแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ สว่างไปทั่วครอบคลุมทั่วสามภพภูมิ ทรงสภาวะที่จิตของเราทรงสภาวะผ่องใสประกายพรึกที่สุด แผ่เมตตาคือรัศมีจิตออกไปครอบคลุมถึงจิตทุกดวงทั่วทั้งสามไตรภูมิทั่วสังสารวัฏนี้ ทรงสภาวะที่จิตประภัสสรสว่าง
จากนั้นอธิษฐานจิต ขอแสงรัศมีของจิตอันประภัสสรและกระแสเมตตาอันไม่มีประมาณนี้ เป็นกำลังผลักดันจิตของข้าพเจ้าให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยง่ายโดยพลันในชาติปัจจุบันนี้เทอญ จากนั้นอธิษฐานจิตกำหนดน้อมนึกถึงพระคือพระพุทธเจ้า นึกภาพองค์พระที่สว่างชัดที่สุดใสที่สุด จากนั้นอธิษฐานจิตขออาราธนาบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน ด้วยกำลังของพุทธานุภาพให้จิตข้าพเจ้าใช้กำลังแห่งมโนมยิทธิได้เต็มกำลังด้วยเถิด จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐาน ขอจงปรากฏกายเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่เบื้องหน้ามหาสมาคมบนพระนิพพาน มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธานอยู่ท่ามกลางพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน กำหนดน้อมใช้อทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพบรรจงกราบทุกท่านทุกๆพระองค์ กำหนดน้อมว่าจิตเราถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพานแห่งนี้ จิตมีความศรัทธามั่นคงเลื่อมใสในพระรัตนตรัย เข้าถึงไตรสรณคมน์อย่างแท้จริง จิตสลายความวิจิกิจฉาคือความลังเลสงสัยทั้งปวง ในกฎของกรรม ในพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ไม่สงสัยในพระนิพพานในมรรคผล และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือไม่สงสัยในตนเองว่าชาตินี้เราจะเข้าถึงพระนิพพานได้หรือไม่ กำลังใจก็ดี กำลังทานบารมีก็ดี กำลังของศีลบารมีก็ดี กำลังบารมีแห่งการเจริญภาวนาทั้งสมถะและวิปัสสนากรรมฐานก็ดี จิตเราน้อมเข้าถึงว่ากำลังใจกำลังบารมีของเรานั้นเต็มพร้อมที่จะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
เมื่อกำหนดกราบและตัดสลายล้างวิจิกิจฉาจากจิต ก็กำหนดพิจารณาต่อไป ว่าการที่เรายกอทิสมานกายขึ้นมาบนพระนิพพานนี้ได้ ปัญญาก็ดี กำลังฌานสมาบัติในการตัดขันธ์ห้าร่างกาย กำลังในการที่เราตัดพิจารณาในมรณานุสติ กำลังฌานสมาบัติที่เรายกอทิสมานกายขึ้นมาบนพระนิพพานนี้ได้ เป็นเครื่องหมายที่ชัดเจนว่าเราแยกกายแยกจิตแยกรูปแยกนาม มีปัญญารู้ว่าร่างกายนี้ในที่สุดก็ต้องถึงแก่ความตาย มีความไม่เที่ยงเป็นอนิจจัง และสิ่งสำคัญคือเมื่อพิจารณาถึงความตายแล้ว เราพิจารณาสืบต่อเนื่องไปว่า แต่เมื่อตายแล้ว พอกันทีกับการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ จิตเราปักไว้อยู่กับพระนิพพานเป็นที่สุด จิตเรามั่นคงอยู่กับพระนิพพานเป็นที่สุด จิตเราไม่ปรารถนาที่จะไปจุติในภพอื่นภูมิใด เราตั้งใจว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายมีพระนิพพานเป็นที่สุด
เราหลายคนในยามที่มีชีวิตบนโลกใบนี้ มีความทุกข์ ทั้งจากการพลัดพรากจากของรักของเจริญใจ ทั้งเห็นโทษภัยในการมีร่างกายขันธ์ห้า จากโรคภัยไข้เจ็บความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย ความป่วยที่หวุดหวิดจวนเป็นเจียนตาย สิ่งที่เราประสบพบเจอจากความทรมานในการบำบัดเยียวยารักษาในยามที่เราป่วยไข้ไม่สบาย ความทุกข์ล้วนแล้วเกิดขึ้นจากการมีขันธ์ห้าด้วยกัน หรือแม้แต่ความเหนื่อยยากในการเลี้ยงดูประคับประคองให้ชีวิตนี้ขันธ์ห้านี้มันสามารถดำเนินได้ อยู่รอดบนโลกใบนี้ได้ ความทุกข์ทั้งหลายเนื่องมาจากการมีขันธ์ห้า
พิจารณาด้วยสภาวะแห่งการเป็นกายทิพย์ ว่าเมื่อเราเป็นกายทิพย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นกายทิพย์อยู่บนพระนิพพาน เรามีความร้อนไหม ความร้อนความเหนอะหนะเหงื่อไหลไคลย้อยมีไหม ความหนาวเหน็บหนาวเย็น ความรู้สึกเจ็บป่วยเจ็บปวดทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ความปวดเมื่อย นั่งนานก็เมื่อย นอนนานก็เมื่อย ยืนนานก็เมื่อย เดินนานก็เมื่อย จะอิริยาบถใดเราอยู่ในอิริยาบถเดิมไปนานๆ มันก็มีความทรมานจากความปวดเมื่อย จากการที่เหน็บกิน ถ้าไม่มีขันธ์ห้าเราจะรู้สึกแบบนี้ไหม ความหิวกระหายถ้าเป็นกายทิพย์มันมีความหิวกระหายไหม ความยากลำบากที่จะต้องหาของกินมาเติมมาเพิ่มให้ ความรู้สึกปวดจากการต้องการขับถ่าย เช่นการถ่ายปัสสาวะอุจจาระมันมีความทุกข์ไหม มันมีความปวดมันมีความไม่สบายไหม คิดพิจารณาจนเห็นความเป็นจริงว่าความทุกข์ทั้งหลายก็เนื่องจากการมีขันธ์ห้า แต่การที่เราเปลี่ยนอิริยาบถหรือแก้ไขความทุกข์เพียงชั่วคราว เช่นเมื่อหิวก็ทาน อิ่มก็พอ หิวก็กลับมาทานใหม่จนเห็นว่ามันเป็นปกติเป็นธรรมชาติจนไม่รู้สึกทุกข์กับมัน แต่หากพิจารณาโดยละเอียด เราก็จะพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมาทั้งหมด มันก็คือความทุกข์ ถ้ามีปัญญาก็จะเห็นทุกข์ มีปัญญาเห็นทุกข์ก็มีปัญญาเข้าถึงธรรม มีปัญญาเห็นมรรคคือหนทางที่จะพ้นจากทุกข์ทั้งหลาย
เราพิจารณาด้วยกายทิพย์จากการที่เราแยกรูปแยกนามแยกกายแยกจิต การพิจารณาก็ย่อมชัดกว่าการที่เราพิจารณาในขณะที่อยู่ในกายเนื้อ พิจารณาดูว่าพอเราเป็นทิพย์เป็นกายพระวิสุทธิเทพ กรรมทั้งหลายก็ไม่อาจติดตามเราได้อีกต่อไป การเกิดไม่มีอีกต่อไป ความทุกข์จากการมีร่างกายก็ไม่มีอีกต่อไป ความเหนื่อยยากในการขวนขวายหาเลี้ยงชีพ รักษาพิทักษ์ทรัพย์สินเงินทองของตัวเอง หรือกิจหน้าที่การงานที่ต้องทำมันก็ไม่มีอีกต่อไป ดังนั้นในพระพุทธศาสนาจึงใช้ศัพท์คำว่าจบกิจในพระพุทธศาสนา เมื่อไรที่สิ้นจากอาสวะกิเลส เข้าถึงอรหัตผล เราก็จบกิจในพระพุทธศาสนา จบกิจในสังสารวัฏ จบกิจทั้งหลายที่ต้องทำ หมดความเหนื่อยยากทั้งหลาย ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกต่อไป อยู่ในสภาวะแห่งความเป็นทิพย์พิเศษคือพระนิพพาน ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
เมื่อเราพิจารณาจนเห็นคุณแห่งพระนิพพานแล้ว เราก็ทรงสภาวะในอารมณ์อุปมานุสติกรรมฐาน ทรงสภาวะความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ เสวยอารมณ์วิมุติบนพระนิพพาน กำหนดจิตว่า หยุดเกิดหยุดตาย “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ทรงสภาวะกายทิพย์อยู่ในวิมานของเรา ทรงอารมณ์ทรงสภาวะประดุจเมื่อเราเข้าถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว เราก็อยู่ในวิมานของเรานี้ ไม่เกิดไม่ต้องทุกข์ เสวยวิมุตติสุข ไม่มีความหนัก ไม่มีภาระ ไม่มีกฎของกรรมที่ติดตามให้เราจะต้องระแวงระวัง คิดพิจารณาดูว่าเทวดาถึงแม้ว่าเสวยทิพยสมบัติอยู่ในสวรรค์ชั้นใดก็ตาม พรหมทั้งหลายเสวยความสุขยังพรหมในพรหมชั้นใดก็ตาม แต่ลึกลึกที่สุดในจิตก็ยังมีความรู้สึกระแวงว่าเมื่อไรบุญของเราจะหมด หรือแม้แต่สภาวะที่จิตมีความสั่นสะเทือนกระเพื่อมเต็มที่ในยามที่เพลิดเพลินใช้บุญจนเกือบหมด จนรัศมีกายหดหายลง มีเหงื่อไหลทางรักแร้ วรรณะความเป็นแก้วความสว่างของกายนั้นมีความทึมมีความทึมลง วิมานมีความเศร้าหมองลง ทิพยสมบัติจากที่มีมากมายล้นเหลือ หดหายหายไป ค่อยๆเหือดค่อยๆหายไป ความสะเทือนความทุกข์ความสะดุ้งใจในสภาวะแห่งความเป็นเทวดาหรือพรหมก็ปรากฏ ถ้าหากต่อบุญบารมีไม่ทัน หรืออธิษฐานลงไปจุติไม่ทัน ใช้บุญจนหมด ก็ต้องลงไปเสวยวิบากกรรมความทุกข์ ดังนั้นวัฏฏะแห่งสังสารวัฏมันก็เกิดต่อเนื่อง มีทั้งบุญมีทั้งบาป มีทั้งสุขมีทั้งทุกข์ มีทั้งที่เราพลาด แล้วก็มีที่เรารอดจากกรรมวิบากกรรมจากการที่เรามีบุญกุศลได้พบพระพุทธศาสนาต่อบุญต่อกุศลได้ทัน แต่เมื่อไรก็ตามที่เราเข้าถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว ความกังวลทั้งหลายเหล่านั้นมันสิ้นไปจนหมด มันไม่ต้องเกิดไม่ต้องจุติอีกต่อไป จิตก็มีความเบากว่า กุศลส่งผลจนถึงซึ่งพระนิพพาน เราถึงที่สุด เป็นปรมัตถธรรม
ตอนนี้ก็ให้เรากำหนดทรงในอารมณ์ของพระนิพพาน พยายามที่จะกำหนดใจของเราจิตของเราให้ซาบซึ้งกับอารมณ์อรหัตผลบนพระนิพพาน “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง กำหนดจิตบริกรรมไป ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะ กำหนดน้อมให้กายพระวิสุทธิเทพสว่างที่สุด วิมานบนพระนิพพานสว่างที่สุด ใสที่สุด รัศมีแผ่สว่างไกลที่สุด เสวยวิมุตติสุข “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง กำหนดน้อมให้จิตของเราปักอยู่กับพระนิพพาน ตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพาน มั่นคงในพระนิพพาน น้อมจิตมีความสำนึกในบุญคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ การที่เราพบเจอครูบาอาจารย์หลวงพ่อที่ท่านเมตตาซ้อนจนนำพาจิตของเราเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ไม่เช่นนั้นถ้าหากเราไปพบทางที่ยาก เราก็ยังต้องเกิดมากมายหลายภพชาติ ถ้าเราไปพบครูบาอาจารย์ที่เป็นมิจฉาทิฐิ เราก็ย่อมไม่มีหนทางที่จะเข้ามาสู่มรรคสู่ผลได้ ชาติภพก็ยังยาวนาน ดังนั้นพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์นั้นสำคัญอย่างยิ่ง ให้เราน้อมจิตอธิษฐานบนพระนิพพานว่า “เรามีความมั่นคงอยู่กับพระนิพพานนี้ ด้วยความกตัญญูกตเวทิตาต่อท่านผู้มีพระคุณ คือพระพุทธเจ้าพระธรรมพระอริยสงฆ์ครูบาอาจารย์ เราจะไม่ประมาทคลาดจากพระนิพพานไปได้ กำหนดน้อมพิจารณาจิตของเรา ขออารมณ์จิตที่เราแนบอยู่กับพระนิพพานนี้ ส่งผลให้ในขณะที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ จิตข้าพเจ้าสะอาดขึ้นบริสุทธิ์ขึ้นใสขึ้น ความโลภเบาบางลงจากจิต ความโกรธจนถึงอารมณ์ที่ต้องการแก้แค้นอาฆาตพยาบาทจองเวรหรือประทุษร้าย มันสลายมันเบามันแห้งไปจากใจของเรา ขอให้ความหลงโมหะทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งความหลงในร่างกาย ความหลงในชีวิต ความหลงในเบญจกามคุณห้า ความหลงในกิเลสตัณหาทั้งหลาย เจือจางเบาบางลงไปจากจิตของเรา”
จากนั้นเราลองทบทวนว่า ตั้งแต่ก่อนที่เรามาพบเจอพระพุทธศาสนาตราบจนที่เราปฏิบัติจนมาถึงจุดนี้วันนี้ จิตเรามีความเบาบางของกิเลสลงไหม มากน้อยเพียงใด จิตเราจากเดิมที่ถูกกิเลสความรักโลภโกรธหลงอารมณ์ลากจูงลากหัวลากหางไป ตอนนี้เรามีกำลังฌานสมาบัติจิตตานุภาพสมาธิสมาบัติ สงบระงับยับยั้งชั่งใจ มีจิตตานุภาพอยู่เหนือกิเลสได้มากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ ซึ่งแน่นอนเรายังมีพลาดเรายังมีพลั้งในบางขณะในบางการกระทบในบางอารมณ์ในบางสถานการณ์ แต่จิตเราก็มีความยับยั้งชั่งใจได้มากได้บ่อยกว่าเดิมก่อนการฝึกไหม เรากำหนดพิจารณาให้เห็นความก้าวหน้า เมื่อเรามาปฏิบัติธรรมแล้ว ในชีวิตเราเริ่มปรากฏเหตุการณ์ต่างๆที่เป็นเรื่องปาฏิหาริย์เรื่องอัศจรรย์ให้เราได้ประจักษ์แจ้งในใจของเรา ประจักษ์ทั้งสิ่งที่จับต้องได้คือเห็นทางกายเนื้อ หรือสัมผัสได้ด้วยจิตด้วยญาณสมาบัติ เราได้ประสบพบเจอประสบการณ์ที่เป็นประสบการณ์ปาฏิหาริย์มีบ้างไหม
กำหนดน้อมพิจารณา สิ่งต่างๆที่พิจารณาทบทวนเพื่อให้จิตของเราเกิดกำลังใจว่า การปฏิบัติธรรมของเรานั้นก้าวหน้า เห็นผลเป็นที่ประจักษ์ เป็นกำลังใจให้เราก้าวเดินต่อไปในเส้นทางแห่งมรรคผลพระนิพพาน เหตุการณ์ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับเรา เสริมเพิ่มเติมศรัทธาปสาทะในพระพุทธศาสนาให้เพิ่มพูนขึ้น บางคนปฏิบัติแล้วปรากฏพระบรมสารีริกธาตุเสด็จเพิ่มบ้างใสขึ้นบ้าง สว่าง เปลี่ยนวรรณะบ้าง ขยายองค์ใหญ่ขึ้นบ้าง เพิ่มจำนวนขึ้นบ้าง เป็นไปตามวาสนาบารมีแห่งการปฏิบัติของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยิ่งปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพาน กำลังพุทธานุภาพปาฏิหาริย์พระธาตุยิ่งประจักษ์กระจ่างกับใจเรามากขึ้น ท่านยิ่งสงเคราะห์เรามาก หรือเหตุการณ์ปาฏิหาริย์ต่างๆที่เป็นญาณเครื่องรู้ของจิต เจโตปริยญาณหรือเหตุการณ์ต่างๆที่เรารู้เห็นก่อนมาเตือนก่อน ก็ให้เรากำหนดพิจารณาดูว่าเกิดเหตุการณ์เกิดประสบการณ์ต่างๆแบบนี้ขึ้นมาไหม บางคนก็อาจจะเกิดหนึ่งเรื่องบ้างสองเรื่องบ้าง บางคนก็เกิดมากมายหลายครั้งจนกลายเป็นเรื่องที่หมดความลังเลสงสัย กลายเป็นเรื่องปกติวิสัย จนรู้สึกว่าเรื่องที่เป็นเรื่องปาฏิหาริย์เรื่องอัศจรรย์ที่คนอื่นเขาตื่นเต้นตกใจ เรารู้สึกว่ากลายเป็นเรื่องธรรมดากลายเป็นเรื่องปกติ
อารมณ์จิตไม่มีความวูบวาบ ไม่มีความหวั่นไหวตื่นเต้นไปกับเรื่องราวที่พบเจอ ตรงจุดนี้ก็ให้เราพิจารณาของเราเอง น้อมจิตพิจารณาย้อนทวนเหตุการณ์ต่างๆเป็นปัจจัตตัง กำหนดพิจารณาทบทวนโดยที่อทิสมานกายเราก็อยู่ในวิมานเจริญพระกรรมฐานอยู่บนพระนิพพานนี่แหละ
เมื่อพิจารณาเห็นความก้าวหน้าของการปฏิบัติของเราเอง ก็น้อมให้อารมณ์ใจเรามีความอิ่มเอมปรีดาปราโมทย์ ยินดีในความก้าวหน้าของเรา ความเจริญในธรรมที่เกิดขึ้น เมล็ดพันธุ์แห่งกุศลความดี เมล็ดพันธุ์แห่งธรรมะที่เราหว่าน ออกดอกออกผลเจริญงอกงาม ให้เรามีกำลังใจในการปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไป ปฏิบัติจนถึงที่สุดคือพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้กันให้ได้ น้อมพิจารณาว่าเรานี่หนอเป็นบุคคลผู้โชคดี เป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่ง การเกิดเป็นมนุษย์ยากยิ่งอยู่แล้ว จิตทั้งหลายทั่วอนันตจักรวาลทั่วทั้งสามภพภูมิ กว่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ยากเย็น น้อยยิ่งกว่าน้อย เกิดเป็นมนุษย์แล้วมีโอกาสพบพระพุทธศาสนาก็น้อยยิ่งกว่าน้อย เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วไม่ปรามาส มีจิตศรัทธาก็น้อยลงไปอีก มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาและก้าวเข้าสู่การปฏิบัติธรรมก็น้อยลงไปอีก ในหมู่ชนทั้งหลายที่ปฏิบัติธรรมที่ประสบพบเจอได้ฌานได้ญาณได้ฌานสมาบัติ ปฏิบัติจนได้มรรคผลก็น้อยยิ่งกว่าน้อยลงไปอีก ปฏิบัติแล้วเกิดความก้าวหน้าเจริญในธรรมก็น้อยลงไปอีก เราหนอโชคดีปฏิบัติจนมาถึงจุดนี้ได้ เราจะไม่ละความเพียรจะไม่ละความพยายาม เราจะก้าวเดินต่อไปในเส้นทางแห่งธรรมจนถึงซึ่งมรรคผลพระนิพพานในชาตินี้ให้ได้
เมื่อพิจารณาไว้ดีแล้ว เราก็อธิษฐานจิต ขออาราธนาบารมีพระพุทธองค์ขอพุทธานุญาต อธิษฐานจิตให้อทิสมานกายของเรานั้น จากกายพระวิสุทธิเทพจงปรากฏในสภาวะกลายเป็นดวงแก้วสว่างบนพระนิพพาน ขอพุทธานุญาตให้จิตข้าพเจ้าลอยเลื่อนเคลื่อนเข้าไปในดวงจิตของสมเด็จองค์ปฐม ขอเข้าไป กำหนดน้อมรู้ในพระมหากรุณาธิคุณ พระเมตตาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ แห่งจิตของพุทธะ คือองค์ปฐมที่มีต่อมวลหมู่เวไนยสัตว์ และน้ำพระทัยของสมเด็จองค์ปฐมที่มีต่อหน่อเนื้อพุทธางกูรพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ขอจิตข้าพเจ้าได้หยั่งถึงพระมหากรุณาธิคุณ หยั่งเข้าถึงพระบริสุทธิคุณคือความสิ้นอาสวะกิเลส ขอจิตข้าพเจ้าเข้าไปอยู่ในจิตของสมเด็จองค์ปฐม ความรู้สึกที่จิตเราสว่างขึ้นยิ่งสว่างขึ้น ทรงสภาวะแห่งความอิ่มความสุข เมื่อเราเข้ามาอยู่ในดวงจิตของสมเด็จองค์ปฐม ความสว่างความสงบความบริสุทธิ์ ทรงสภาวะแห่งวิมุต
การที่เราน้อมจิตเข้ามาอยู่ในดวงจิตสมเด็จองค์ปฐมนี้ เป็นแนวทางที่หลวงพี่อาจินต์ท่านเมตตาสอน และท่านก็สอนอีกว่า การที่เรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานนั้น อันที่จริงแล้วความสำคัญอยู่ที่
เรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน เราจะกำหนดว่าเราอยู่ในวิมานของเราแบบนั้นก็ได้
หรือเรากำหนดว่าเราขึ้นมาอยู่บนพระนิพพานอยู่ท่ามกลางมหาสมาคมคือพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ก็ได้
หรือแม้กระทั่งขึ้นมาบนพระนิพพานแล้วขอพุทธานุญาตน้อมจิตเข้ามาอยู่ในดวงจิตของสมเด็จองค์ปฐม หรือพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปัจจุบันก็ได้
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือขึ้นมาอยู่บนพระนิพพานพร้อมกับจิตที่สิ้นอาสวะกิเลสทั้งปวง ความห่วงใยทั้งปวง สมมุติทั้งปวง
ตอนนี้ก็ให้เราลองพิจารณาดูว่า ในระหว่างสามจุด คือในวิมานของตนเอง1 อยู่ท่ามกลางมหาสมาคมบนพระนิพพาน2 และสามอยู่ในดวงจิตของพระพุทธองค์คือสมเด็จองค์ปฐม3 เราอยู่ในสภาวะบนพระนิพพานเช่นไร เรารู้สึกเป็นสุขมากที่สุด เมื่อพิจารณาดูแล้ว จุดใดเป็นสุขมากที่สุด เราก็พึงที่จะปฏิบัติในอุบายในจุดนั้นให้เป็นปกติ แต่ละคนแต่ละดวงจิตแต่ละวิสัย อาจจะมีความสัปปายะในธรรมต่างกัน เราเลือกธรรมอันเป็นสัปปายะอันเหมาะสมกับจิตของเรา มีหลายคนก็พึงพอใจอยู่กับการอยู่ในดวงจิตของสมเด็จองค์ปฐม บางคนก็มีความรู้สึกว่าอยู่แทบเบื้องพระบาทของพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานเรารู้สึกพึงพอใจตั้งมั่นมากกว่า ก็ให้เราตอนนี้ปฏิบัติในแนวทางในวิสัยที่สัปปายะกับเราบนพระนิพพาน
จากนั้นทรงสภาวะนี้ไว้ เมื่อทรงสภาวะจนจิตเป็นสุขดีแล้ว ลำดับต่อไปเราก็อธิษฐาน ขอน้อมกระแสบุญทั้งหลายบนพระนิพพาน น้อมรวมลงมาเป็นกระแสเมตตาอันไม่มีประมาณยังสังสารวัฏทั้งหลายสามภพภูมิ น้อมรวมลงมานับตั้งแต่อรูปพรหมทั้งสี่ พรหมโลกทั้งสิบหกชั้น อากาศเทวดาทั้งหก รุกขเทวดาภูมิเทวดาทั้งหลายทั่วอนันตจักรวาล กระแสบุญกุศลน้อมรวมลงสู่ภพกลาง คือมนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ห้ากายเนื้อทั่วโลกทั่วทุกดวงดาวทั่วอนันตจักรวาล แผ่เมตตาให้กับบรรดาดวงจิตของโอปปาติกะสัมภเวสีทั้งหลายทั่วอนันตจักรวาล ชาวเมืองบังบดลับแล ชาวมิติทับซ้อนทั้งหลาย ขอจงได้รับผลแห่งบุญ แผ่เมตตาแสงสว่างของดวงจิตเรา น้อมรวมลงอุทิศให้กับบรรดาเปรตอสุรกายสัตว์เดรัจฉานตลอดจนสัตว์นรกทั้งปวงทุกขุมลึกลงไปถึงที่สุดคือโลกันตมหานรก กำหนดน้อมจิตว่าเมตตาที่เราอาราธนากระแสบุญลงมาจากพุทธานุภาพบนพระนิพพานนี้ เราน้อมเมตตาด้วยจิตอันปราศจากอคติทั้งปวง จิตเป็นอุเบกขารมณ์อย่างยิ่ง บริสุทธิ์อย่างยิ่ง เข้าถึงพรหมวิหารสี่ในการแผ่เมตตา เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งผู้ที่เสวยบุญเสวยบาปเสมอกัน ปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายเสมอกัน จิตเรายกระดับขึ้นเข้าถึงอุเบกขารมณ์ที่สุด อุเบกขาต่อสรรพสัตว์
พิจารณามหาอุเบกขาว่าสุดท้ายแล้ว จะเป็นมหาพรหมก็ดี หรือแม้แต่สัตว์นรกในโลกันตมหานรกก็ดี หรือแม้แต่มนุษย์อย่างเราเอง ล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายในสังสารวัฏนี้ ทุกภพภูมิสามารถผันเปลี่ยนแปรผัน หมุนเวียนเปลี่ยนภพภูมิ จากสัตว์นรกในโลกันตมหานรกในที่สุด เมื่อไต่เต้าเพิ่มพูนบารมีขึ้นเรื่อยๆ สะสมกุศลขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็สามารถที่จะเข้าถึงมรรคผลพระนิพพานได้ในที่สุดเช่นกัน หรือแม้แต่สัตว์นรกพ้นขึ้นมาจากบาปเวรภัยทั้งปวง สะสมบุญบารมี ในที่สุดก็อาจจะบรรลุซึ่งอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณจากการบำเพ็ญบารมีขึ้นมาเป็นพระโพธิสัตว์จนเข้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตก็ได้ ดังนั้นในอุเบกขารมณ์พิจารณาในสังสารวัฏ สรรพสัตว์ทั้งหลายดวงจิตทั้งหลายจะสูงสุดต่ำสุด จะอยู่ในภพใดภูมิใดล้วนแล้วแต่เสมอกัน เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น การที่เราน้อมกระแสแผ่เมตตาให้ทุกดวงจิตนี้ เพราะเราเข้าถึงสภาวธรรมนี้ เห็นสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายเสมอกัน กระแสเมตตาสงบเย็นบนพระนิพพานแผ่สว่างไปทั่วจักรวาลทั่วสังสารวัฏทั่วสามภพภูมิด้วยเถิด
จากนั้นน้อมจิตลงมา ได้เวลาวาระ น้อมกระแสจากพระนิพพาน น้อมกระแสบุญลงมา ยังพระราหูโพธิสัตว์เจ้า วาระเวลาวันนี้เป็นวันพระ เป็นวาระเวลาที่เข้าสู่สูญญ์ คือ “ราหูสูญญ์จันทร์” เกิดจันทรุปราคาเต็มดวงเดือนดับ กำหนดน้อมขอกระแสบุญกระแสกุศลถึงพระราหูโพธิสัตว์ ขอให้บุญกุศลส่งผล ขอจันทรุปราคานี้นำพาเมฆหมอกแห่งวิบากกรรมอกุศลทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เป็นบาปเคราะห์เป็นวิบากของประเทศชาติบ้านเมืองและโลกใบนี้ เมื่อมืดแล้ว ดับแล้ว ก็ขอให้เป็นการทำเคล็ดแก้เคราะห์ให้ทั้งประเทศชาติให้ทั้งแผ่นดินหรือแม้แต่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ยามเงาของราหูทาบทับดับแสงจันทร์ ก็ขอให้วิบากอกุศลทั้งหลาย เมื่อตกต่ำลงถึงที่สุด เลวร้ายจนถึงที่สุด แต่เงาที่บดบังแสงจันทร์ดวงจันทร์นั้น ในที่สุดก็ต้องผ่านไปพ้นไปเคลื่อนไป เมื่อคราสบาปเคราะห์ทั้งหลายพ้นจากการบังดวงจันทร์ ก็ขอให้ชีวิตของข้าพเจ้าทุกคนนี้ ชะตาชาติบ้านเมืองนี้ หรือวิถีแห่งโลกใบนี้ จงเคลื่อนคล้อยผ่านพ้นสู่แสงสว่าง ดวงจันทร์กลับมาสว่างเต็มดวงอีกครั้ง โลกนี้ผ่านพ้นความมืดมิด ก้าวเข้าสู่แสงสว่างแห่งยุคชาววิไลในครั้งนี้ ขอฤกษ์นี้จงแก้คราสบาปเคราะห์ทั้งหลายของข้าพเจ้าเอง ของชาติบ้านเมือง และของโลกใบนี้ ขอกำลังกรรมฐานอันมีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพอันไม่มีประมาณ จงยังผลบุญแก้คราสบาปเคราะห์ ผ่านพ้นเรื่องร้ายกลับกลายเป็นมหามงคล ดลนำพาก้าวเข้าสู่ ยุคชาววิไล ขอกำลังจิตกำลังกรรมฐานของทั้งแปดสิบท่านครบถ้วนเท่าพระชนม์วารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นกำลังบุญใหญ่ นำพาแก้ไข แก้เคล็ดแก้คราสแก้บาปเคราะห์ทั้งปวงให้ปลาสนาการไปด้วยเถิด
จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพานกระแสบุญลงมาคลุมโลกใบนี้จนสว่าง คลุมประเทศไทยจนสว่าง คลุมเขตอาณาเขตประเทศไทยให้สว่าง คลุมพุทธาวาสเขตพระพุทธศาสนา วัดทุกแห่ง สถานปฏิบัติธรรมทุกแห่งให้สว่างผ่องใส น้อมกระแสลงมาครอบคลุมคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ พระสยามเทวาธิราช ดวงพระวิญญาณบูรพมหากษัตราธิราช สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองชาติสถาบัน ขอจงเกิดความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ด้วยจิตอันตั้งมั่นในความกตัญญูกตเวทิตาต่อแผ่นดินต่อชาติบ้านเมืองด้วยเถิด
จากนั้นเรากำหนด อธิษฐานขอให้กรรมฐานในวาระพิเศษในวันจันทรุปราคาวันนี้ ยังผลให้ข้าพเจ้าเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกทางธรรม วิบากบาปเคราะห์ทั้งหลายขอจงคลี่คลาย พลิกชีวิตขึ้นสู่ความเจริญรุ่งเรือง สู่ความก้าวหน้า ขอความคล่องตัว ขอสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติเงินทองทั้งหลายขอจันทร์จงหลั่งไหลมหาโภคทรัพย์นับอนันต์มาสู่ชีวิตของข้าพเจ้าทุกคนด้วยเถิด อธิษฐานขอให้กำลังกรรมฐานวันนี้เป็นพิธีขอเงินจันทร์ ขอโชคลาภ ขอความสุข ขอความเจริญให้ปรากฏขึ้น เมื่ออธิษฐานไว้ดีแล้ว กุศลมงคลเราเจริญไว้ดีแล้ว ได้เวลาวาระสมควรกับเวลา เราก็น้อมจิตกราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์ ครูบาอาจารย์ พระอรหันต์ พระอริยเจ้าที่ท่านเมตตามาโปรดมาสงเคราะห์ เทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเมตตามาสงเคราะห์ น้อมจิตกราบขอบพระคุณทุกท่านทุกๆพระองค์
จากนั้นพุ่งจิตกลับลงมาบนโลกมนุษย์พร้อมกับน้อมกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพานลงมาคลุมกาย กายทิพย์กลับมายังกายเนื้อเป็นหนึ่งเดียวกัน กำลังบุญกุศลน้อมรวมลงมา ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ ผมขนเล็บฟันหนังกลายเป็นแก้วใส ธาตุธรรมฟอกขันธ์ห้าธาตุขันธ์ โครงกระดูกกลายเป็นแก้วใส กระแสธรรมฟอกหลอดเลือดเส้นเอ็นทั้งหลายกลายเป็นแก้วใส ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ เซลล์ทุกเซลล์ อวัยวะทุกส่วนอาการทั้ง 32 กลายเป็นแก้วใสสะอาดบริสุทธิ์ กลายเป็นเพชร โรคภัยไข้เจ็บเนื้องอกเซลล์มะเร็ง ซีสต์ เซลล์ที่ผิดปกติ ภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ สลายคลายตัวไป ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ชำระล้างเซลล์ที่ผิดปกติออกไป โรคาพญาธิทั้งหลายเชื้อโรคสลายตัวไป ร่างกายหล่อเลี้ยงด้วยธาตุธรรม มีแต่กระแสบุญหล่อเลี้ยงในเซลล์ทุกเซลล์ แสงสว่างของบุญกุศลหล่อเลี้ยงในเซลล์ทุกเซลล์อวัยวะทุกส่วนอาการทั้ง 32 บุญคุ้มครองรักษาคุ้มครองเป็นกำแพงแก้ว คุ้มครองกายจากภยันอันตรายทั้งหลายทั้งปวง จากวิบากบาปเคราะห์ทั้งหลายทั้งปวง มีบุญเป็นเกราะแก้วคุ้มครองรักษา อธิษฐานเปิดสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติสายบารมีหลั่งไหลลงมา ขอบุญขอมหาโภคทรัพย์จากพระราหู ขอเงินจากจันทร์ ขอกำลังแห่งกุศลที่ข้าพเจ้าเจริญพระกรรมฐานสวดคาถาเงินล้าน ขอจงเกิดความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ มีความคล่องตัว มหาโภคทรัพย์จงหลั่งไหลลงมาสู่ชีวิตข้าพเจ้านับตั้งแต่บัดนี้ รับยุคสมัยแห่งชาววิไล
จากนั้นกำหนดจิต กำหนดน้อมเห็นมหาโภคทรัพย์หลั่งไหลลงมาจากฟ้านภากาศ ไหลเนืองนองก่ายกองรอบตัวเรา ขอให้ทิพยสมบัติพรหมสมบัติ บุญอันเกิดขึ้นจากทานบารมี บุญอันเกิดขึ้นจากการถวายมหาสังฆทาน สังฆทานสร้างพระพุทธรูป จงปรากฏหลั่งไหลลงมาเป็นมนุษย์สมบัติ เป็นมหาโภคทรัพย์นับอนันต์ มายังชีวิตของข้าพระเจ้า ขอความคล่องตัวจงปรากฏขึ้น ขอผู้เมตตาช่วยเหลืออุปถัมภ์จงปรากฏขึ้น ขอจิตจงดึงดูดให้มีแต่ผู้ที่มีบุญมีบารมี มีศีลมีธรรม มีความดีดึงดูดเข้ามาในชีวิตข้าพเจ้า
จากนั้นก็ให้เราตั้งจิตโมทนาสาธุกับเพื่อนกัลยาณมิตรในห้องเมตตาสมาธิที่ร่วมกันเจริญพระกรรมฐาน ร่วมกันเจริญปฏิปทาใช้กำลังบุญช่วยเหลือชาติบ้านเมืองโลกใบนี้ และแผ่เมตตายังสรรพสัตว์ทั้งสังสารวัฏ อันถือว่าเป็นปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขอโมทนาสาธุกับทุกบุญกุศล ยิ่งกรรมฐานที่เพื่อนๆแต่ละคน กัลยาณมิตรแต่ละคนเดินจิตเจริญพระกรรมฐานจนถึงพระนิพพานได้เป็นบุญกรรมฐานใหญ่ ก็ขอให้บุญนี้จงสำเร็จประโยชน์ให้ทุกคนสมปรารถนาคือ มีพระนิพพานในชาติปัจจุบันเป็นที่สุดกันทุกคน เข้าถึงอริยทรัพย์อริยสมบัติกันทุกคน นิพพานสมบัติกันทุกคน
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ฝากประชาสัมพันธ์เรียนเชิญให้ไปร่วมงานหล่อพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ที่โรงหล่อพระจำเนียร ใกล้วัดท่าซุงวันที่ 27 วันเสาร์ห้าเดือนนี้คือ 27 กันยายน โดยที่มีพิธีบวงสรวงในเวลา 7:00 น. เช้า แล้วก็พิธีหล่อพระเททองประมาณ 10:00 น ซึ่งการกำหนดเวลานั้นก็สามารถทำให้เราสามารถเข้าร่วมพิธีทั้งงานเสาร์ 5 ที่วัดท่าซุง แล้วก็ร่วมงานหล่อพระในครั้งนี้ได้พร้อมกัน โดยอาจจะต้องบริหารจัดการเวลาให้ดีหน่อย ก็ขอเรียนเชิญ แล้วก็ท่านใดที่ไปร่วมพิธี ก็ขอให้แจ้งให้ทราบทางห้องทั้งใน Facebook แล้วก็ห้องไลน์ เพื่อที่ว่าทางคณะผู้จัดสร้างพระก็จะได้เตรียมอาหาร เตรียมของที่ระลึกให้พอกับจำนวน รวมทั้งท่านใดที่ไปก็ขอให้แจ้งให้ทราบ และท่านใดที่มีจิตศรัทธาจะร่วมบุญนำกองบุญไปก็ดี หรือจะจัดหาหรืออัญเชิญทองคำบริสุทธิ์ไปร่วมเททองในวันงานก็ขอเรียนเชิญได้ในวันนั้น รวมถึงท่านใดที่จะอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์วัตถุมงคลไปบรรจุในฐานองค์พระก็สามารถนำมาได้ในวันนั้นด้วยเช่นกัน การที่เราตั้งจิตไปพระนิพพานในชาตินี้ พระท่านก็คือพระพุทธองค์ท่านก็ทรงเมตตาสั่งงานนี้มาว่า ให้จัดสร้างพระพุทธรูปองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน เพื่อเป็นพระกำลังกรรมฐานให้แผ่นดิน เพื่อรองรับทั้งยุคชาววิไลและก็รองรับเพื่อในยุคเมื่อเข้าสู่ชาววิไลผ่านพ้นเรื่องราวต่างๆไปเมื่อไร ก็จะเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนเข้าถึงมรรคผลนิพพานมากขึ้น กำลังบารมีในการจัดสร้างพระองค์นี้ก็เป็นรากฐานสำคัญ เพราะจัดสร้างจากแรงอธิษฐานจิต แรงกำลังของการเจริญพระกรรมฐานยกจิตขึ้นพระนิพพานแสนครั้ง ดังนั้นความศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดขึ้นตั้งแต่เจตนารมณ์ในการจัดสร้างแล้ว และใน 5,000 ปี ก็ขอบอกเลยว่าน่าจะมีพระพุทธรูปที่จัดสร้างในลักษณะนี้เพียงองค์เดียว ไม่ใช่เหมือนพระพุทธรูปทั่วไป ดังนั้นการที่เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาพบการปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพาน ก็ขอจงอย่าพลาดในการที่มาร่วมสร้าง มามีส่วนร่วมในการสร้างพระพุทธรูปองค์นี้ ขอให้เราทุกคนมีกำลังใจเต็มในการปฏิบัติเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน สวัสดี
ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณวิลาวัลย์ วลีเดช